Categories
Interview

Interview : Noey

ชื่อ : กานต์ธีรา วัชรทัศนกุล

ชื่อเล่น : เนย

IG : https://www.instagram.com/noeyyyy.kw/

ลุ้นระทึกทุกช็อต: เสน่ห์ของกล้องฟิล์มในมุมมองของ เนย กานต์ธีรา

เนย กานต์ธีรา นักแสดงและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง กำลังตกหลุมรักเสน่ห์ของกล้องฟิล์ม เธอเริ่มถ่ายภาพฟิล์มจากแรงบันดาลใจใน MV เพลงที่ญี่ปุ่น รู้สึกประทับใจกับโทนภาพที่ได้ จึงเริ่มศึกษาและลองใช้กล้องฟิล์มด้วยตัวเอง

จุดเริ่มต้นของความหลงใหล

“ตอนแรกไม่ได้ถ่ายกล้องฟิล์มเลย จนได้ไปถ่าย MV ที่ญี่ปุ่น พี่ที่ถ่ายภาพเบื้องหลังใช้แอปกล้องฟิล์ม ตอนนั้นยังเป็นแอปในโทรศัพท์ ถ่ายแล้วรู้สึกว่าภาพสวย รู้สึกว่ามันเป็นภาพที่ไม่ต้องแต่ง ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่มันดูมีอะไรของมันอยู่แล้ว จากนั้นก็เลยเริ่มสนใจว่า อันนี้คือใช้แอปอะไร ก็เลยชอบโทนภาพฟิล์มมาตั้งแต่ตอนนั้น”

เสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร

สำหรับเนย สิ่งที่ดึงดูดเธอให้หลงใหลในกล้องฟิล์ม คือความลุ้นระทึก ไม่รู้ว่าภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไร “หนูเป็นคนไม่ได้รู้จักรายละเอียดของกล้องฟิล์มแต่ละตัว แต่ที่ชอบที่สุดคือ Feel ภาพค่ะที่มันออกมา เราจะลุ้นว่าเวลาเราถ่ายปุ๊บ เวลาภาพที่ออกมามันจะเป็นยังไง มันเป็นเสน่ห์อย่างนึงของกล้องฟิล์มสำหรับหนู ที่หนูจะต้องถ่ายเสร็จปุ๊บ แล้วมานั่งลุ้นว่าภาพที่ออกมาว่า ใช้ได้ ไม่ได้ นอกจากนั้นในบางครั้งภาพที่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้เพอร์เฟกต์ แต่ว่ามันกลับดูมีอะไรของมันที่ทำให้หนูชอบ

กล้องตัวแรกและสไตล์การถ่ายภาพ

เนยเริ่มต้นถ่ายภาพฟิล์มด้วยกล้องที่แฟนคลับส่งให้ เธอชอบถ่ายวิวและดอกไม้

“พอหนูเริ่มแบบว่ามีการลงรูปแบบเป็นโทนแบบฟิล์มใช่มั้ยคะ ลงไปเงี้ย อะเหมือนเดิมแฟนคลับก็จะ เอ๊ย แสดงว่าน้องแบบชอบภาพโทนนี้ เค้าก็จะเริ่มส่งแบบเป็นกล้องฟิล์มที่ง่ายง่ายกว่าแบบใช้แล้วทิ้งมาให้หรือว่าที่หนูได้ก็เป็นตัวนี้เหมือนกันค่ะที่ได้มาอันนี้ก็คือหยิบออกมา แล้วก็ลองมาลองเล่นตอนแรก ไม่เป็นเลยแบบว่าไม่รู้ต้องทำไง เพราะปกติเป็นแบบให้คนอื่นถ่ายให้ เพราะเราชอบเราที่อยู่ในกล้องฟิล์ม เราจะไม่ค่อยได้เล่นถ่าย”

ความสนุกสนานและความท้าทาย

เนยรู้สึกสนุกกับการลุ้นภาพที่ออกมา ชอบสีและโทนภาพที่ไม่เหมือนใคร ชอบเสน่ห์ของกล้องฟิล์มที่หาไม่ได้จากกล้องดิจิตอล

“หนูสนุกจากการลุ้นของมันนี่แหละ ว่าออกมาจะเป็นมิติไหน จะเป็นโทนไหน หรือว่าเป็นภาพที่คนอื่นถ่ายเราก็แล้วแต่ เราก็จะลุ้นเช่นกัน มันเป็นเสน่ห์ที่มันหาไม่ได้จากกล้องดิจิตอลทั่วไป

หลาย ๆ รูปในไอจีของหนูก็จะเป็นโทนกล้องฟิล์มซะส่วนใหญ่ แบบหนูเป็นคนชอบแต่งภาพเวลาถ่ายด้วยกล้องดิจิทัลอะไรอย่างนี้ก็จะมีความแต่งภาพ แต่รู้สึกว่าเวลาถ่ายฟิล์มอะ มันมีเสน่ห์โดยที่เราสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องแต่งเลยก็ดูสวย

อย่างวันนี้ที่มาถ่าย หนูรู้สึกว่าอย่างบางภาพ พี่เขาก็ดูแสงเวอร์ไป แต่หนูมองว่า มันก็สวยแล้วนะ มันดูแบบอาร์ตของมันแล้วนะ

นี่คือความสนุกที่หนูได้ถ่าย ได้เป็นแบบก็ได้ลุ้นในความสนุกว่าภาพจะออกมาเป็นฟิลไหน หรือถ่ายเองก็ลุ้นว่าตัวเองถ่ายออกมาแล้วจะเป็นแสงแบบไหนค่ะ”

ตัวอย่างรูปที่ถ่ายด้วยกล้องของน้องเนย

Thank you

Dress : DISAYA https://www.instagram.com/disayaofficial/

Categories
Back Issue

I SHOOT FILM / SPECIAL / PART 9

The Art of Film

ความงาม และ ศิลปะ ที่เกิดจากการถ่ายภาพกล้องฟิล์ม บางครั้งอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก ทำให้ผู้คนหลงใหล ในการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม เช่นเดียวกับ น้องเนย อดีตสมาชิกวง BNK48 พอถูกแฟนคลับถ่ายภาพด้วยฟิล์มบ่อยๆ จึงเกิดความสนใจ และอยากลองถ่ายเองบ้าง ติดตามเรื่องราวเหล่านี้ของน้องเนย ได้ในคอลัมน์ Special Interview นะครับ

และในการถ่ายแฟชั่นครั้งนี้ เราได้ใช้ Polariod หลายๆแบบ ให้เกิดความน่าสนใจ รวมถึงใช้ขึ้นปกแมกกาซีนด้วย

และด้วยแมกกาซีนฉบับนี้ จะ Online ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่ไทย กับผู้อ่าน I Shoot Film Magazine ทุกท่านด้วยนะครับ

มีความสุขกับการถ่ายภาพด้วยฟิล์มครับ

กำพล กิตติพจน์วิไล #ishootfilmmagazine

Ookbee

MEB

Hytexts

ISSUU

Categories
Article

Film Tips : About Hasselblad

ผมก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้องHasselbladอะไร ก็แค่อาจจะชอบและรักกล้องHasselblad และใช้มาเรื่อยๆ ก็เลยค่อยๆศึกษาหาความรู้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวกล้องไปเรื่อยๆ และโชคได้เจอช่างซ่อมผู้ชำนาญและอาจาร์ยผู้เชี่ยวชาญที่แบ่งปันข้อมูลของ Hasselblad ให้ได้รับรู้ เลยแค่จะเอาความรู้ เรื่องราวจากประสบการ์ณตรงนี้ มาบอกต่อ แชร์ต่อแค่นั้นครับ

เรื่องวิธีดูที่เก็บแผ่นดาร์กสไลด์ (Dark Slide Holder) ที่ติดกับกลักฟิล์ม (Magazine Film Back)ของกล้องฮัสเซลบลัด (Hasselblad) ว่าของแท้กับของเทียบต่างกันยังไง 

Dark Slide Holder ที่เป็นของแท้จะไม่มีขายแยก เพราะจะออกมาพร้อมกับตัวกลัดฟิล์มบางรุ่น หรือ รุ่นหลังๆเท่านั้น และไม่สามารถถอดไปติดกับตัวกลัดฟิล์มรุ่นก่อนได้ครับ ส่วนที่เป็นของเทียบจะมีขายอยู่เป็นของใหม่ ราคาอยู่ที่หลักร้อยถึงหลักพันกว่าบาทเท่านั้น

Dark Slide Holder ของแท้กับของเทียบก็จะแตกต่างกันประมาณนี้ (ล่าสุด) ให้สังเกตุที่ฟ้อนต์ยี่ห้อ ของแท้จะเขียนว่า Hasselblad Sweden แต่ของเทียบจะเขียนแค่ว่า For Hasselblad (แต่อนาคตอาจจะมีทำได้เหมือนกันมากขึ้นก็เป็นได้) และตัวเนื้อพลาสติกเกรดของแท้เท่าที่สัมผัสดูจะเงาๆด้านๆนิดๆหน่อยๆ ก็บอกไม่ถูก แต่คุณภาพดีเลยครับ ส่วนของเทียบเนื้อพลาสติกจะมีทั้งแบบด้านและเงา แยกชัดเจนจะไม่เหมือนของแท้ที่มันผสมกันเงากึ่งด้านหน่อยๆ 

รูปตัวอย่างน่าจะพอเห็นได้ชัดนะครับ ว่าอันไหนของแท้ อันไหนของเทียบ 

ส่วนด้านในอย่างที่บอกไปคร่าวๆว่าทำไมของแท้ถึงไม่มีขายแยกหรือไม่สามารถติดกับกลัดฟิล์มรุ่นแรกๆบางตัวได้ ก็เพราะกลักฟิล์มรุ่นที่มีที่เก็บแผ่นดาร์กสไลด์ (Dark Slide Holder) มันจะมีรูกับน็อตที่ยึดระหว่างตัวกลักฟิล์มกับตัวholderครับ แต่ของเทียบคือเป็นกาวสองหน้าติดอยู่ที่ตัวholderและติดกับหนังด้านนอกครับ 

คร่าวๆ รุ่นบอดี้กล้องที่ตัวกลักฟิล์มจะมีติดตัวเก็บแผ่นดาร์กสไลด์มาด้วยจะมีตามนี้ครับ 503cw, 501cm, 202FA, 203FE, 205TCc และ 205Fcc ครับ

ซึ่งส่วนตัวผมก็ไม่ได้มีปัญหากับของแท้หรือของเทียบนะครับ เน้นใช้งาน แค่กันคนบางกลุ่มที่หัวหมอจะมาหลอกหรือโก่งราคา เพราะกลักฟิล์มรุ่นที่มีที่เก็บแผ่นดาร์กสไลด์ (Dark Slide Holder) มันเป็นกลักฟิล์ม (Magazine Film Back) รุ่นหลังๆที่ผลิตออกมาน้อย และราคาในตลาดมือสองก็อาจจะแพงกว่ากลัดฟิล์มรุ่นธรรมดา รุ่นแรกๆนิดนึง

เรื่องวิธีดูว่าบอดี้กล้องและตัวกลักใส่ฟิล์ม (Magazine Film Back) ของเรานั้นผลิตปีไหน มันจะมีรหัสลับบอกอยู่ครับ

V H P I C T U R E S 

1 2 3 4 5 6 7 8 9 0

ที่ด้านหลังของตัวกล้อง(Body Camera) กับกลักฟิล์ม (Magazine Film Back) จะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษอยู่ ซึ่งถ้าเราดูตามรหัสข้างบน

U = 7 , T = 6 เป็น 76 กลักฟิล์มตัวนี้ผลิตเมื่อปี 1976 เป็นต้นครับ

ส่วนของบอดี้กล้อง U = 7 , R = 8 บอดี้กล้องตัวนี้ผลิตเมื่อปี 1978 ครับ

และอีกเรื่องนึก ตัวไส้ในของตัวกลักฟิล์ม ซึ่งปัจจุบันจะค่อนข้างสลับกันมั่วไปหมด หรือ บางตัวเลขก็ถลอกออก ไม่ก็หลุดออกไปทำให้ไม่รู้ว่าเป็นรหัสอะไร แต่ตามหลักแล้ว ใส้ในกับตัวหลักต้องเป็นเลขเหมือนกัน แต่จริงๆถามว่าสำคัญมั้ย หรือ มันมีผลต่อการถ่ายรูปมั้ย บอกเลยครับ ไม่มีผลใดๆกับการถ่ายรูป ซึ่งในบางครั้งได้เลขมาตรงกัน แต่อาจจะต้องมาเสียเงินซ่อมแซมเยอะกว่าเลขที่ไม่ตรงกันค่อยข้างบ่อย เพราะการที่เลขตรงกันเจ้าของเดิมอาจจะไม่เคยเอาออกมาใช้เลย เป็นของเก่าเก็บ ส่วนอันที่สลับไปมาก็เกิดจากการใช้งานในกองถ่ายเมื่อก่อนที่ต้องใช้กลักฟิล์มหลายกลัด เพราะต้องถ่ายฟิล์มหลายม้วน ในเวลาที่จำกัด ก็เลยทำให้ไส้ในมันสลับไปมา ตอนที่ขายต่อมือสองกันครับ

วิธีดูก็ง่ายให้ดูเลขของไส้ในจะมีเลข 3หลัก (รูปข้างบน) 838 ก็จะตรงกับ 30EI60838 ที่เป็นเลข3ตัวหลังครับ

บางรุ่นอาจจะเป็น 6หลัก พร้อมกับมีตัวอักษร2ตัว เหมือนที่กลักด้านนอกครับ อันนี้แล้วแต่รุ่นของตัวกลักฟิล์ม เพราะ Hasselblad มีผลิตตัว Magazine Film Back มาก็ค่อนข้างจะหลายรุ่นครับ

Focusing Screen

Acute matte focusing screen D type ที่มีความสว่างมาก โฟกัสง่าย เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดมากับตัวกล้อง (ลักษณะของ Acute Matt screen D type สังเกตุง่ายๆ จะเห็นว่าขอบของสกรีนมีรอยบาก 2 ตำแหน่ง) ส่วนสกรีน Acute Matt Screen type จะไม่มีรอยบากสองจุดนี้ Acute Matt screen ผลิตแยกจำหน่ายเพื่อ upgrade ให้รุ่นที่ผลิตออกมาก่อนหน้านี้ เช่น 500cm 503cx 500ELM 500ELX 553ELX ที่ยังเป็น Bright screen หรือ Standard screen ได้ใช้สกรีนที่สว่างขึ้น

ส่วน Acute Matt Screen D type สกรีนที่มีรอยบาก 2 จุดนี้และเราเห็นแยกขายนั้น อาจเป็นไปได้ว่าอาจถูกถอดสับเปลี่ยน เพื่อนำมาขายแยกต่างหาก เพราะปกติแล้ว Acute Matt Screen D type ผลิตมาเท่าๆ กับจำนวนกล้อง 501cm หรือ 503cw เท่านั้น ไม่ได้ผลิตเกินเพื่อจำหน่ายให้กล้องรุ่นๆ ก่อนๆ อับเกรด 


Diopter

เคยสงสัยมั้ยได้กล้องฟิล์มHasselbladมาแล้ว แต่ทำไมมองไม่ชัด หรือ ถ่ายออกมาโฟกัสไม่เข้า ทั้งที่ก็เปลี่ยนตัว “Focusing Screen” เป็นแบบ Acute Matt Screen type ที่มีความสว่างมาก โฟกัสง่าย แต่ก็ยังมองไม่ชัดอยู่ที่ เหมือนจะชัด เหมือนจะโฟกัสเข้า แต่พอดูรูปแล้วหรือเอาฟิล์มไปล้างสแกนออกมา กลับเบลอไม่ชัด จนหลายคนน่าจะมีอาการเลิกเอากล้องHasselbladมาถ่ายกันเลยทีเดียว และก็ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุจริงๆจังๆสักคน ทุกคนล้วนเข้าใจว่า เป็นเพราะตัวสกีนไง แต่ถ้าเปลี่ยนสกินจากตัว Standard Foucing Screen เป็นแบบ Acute Matt Screen type แล้วทำไมยังมองไม่ชัด ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีใครตอบได้ 

จนวันนึงผมได้รู้ว่าเราสามารถเปลี่ยนตัวแว่นขยายหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Diopter ซึ่งมันมีระยะต่างกันด้วยกันถึง 11ระยะ จะแบ่งเป็น +5 ถึง 0 แล้วก็ไปที่ -5 ซึ่งตัว Diopter นี้จะมีทั้งแบบแผ่นที่ถอดเปลี่ยนกับช่องมอง waist level viewfinder และแบบเกลียวคล้ายฟิวเตอร์ที่เป็นวงกลมสำหรับเปลี่ยนกับ prism finder

ซึ่งความแตกต่างระหว่างตัว waist level viewfinder กับ prism finder ต่างกันแค่ waist level จะมองสลับซ้ายเป็นขวาขวาเป็นซ้าย ซึ่งหลายๆคนจะไม่ค่อยชอบเพราะมันทำให้สลับสน แต่บางคนก็จะทำความเคยชินได้ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ตัว prism นอกจากจะปรับซ้ายเป็นซ้ายขวาเป็นขวาแล้ว ภาพที่มองจะค่อนข้างตรงกับตัวเลนส์มากกว่าหน่อยนึง เพราะเท่าที่ใช้มาและสังเกตุดูเหมือนตัว waist level มันจะซูมเข้าไปมากกว่านิดหน่อย ซึ่งส่วนตัวก็ชอบตัวwaist level นะครับ เพราะมันดูชัดดีตอนโฟกัส

ส่วนมากตัว Diopter ที่ติดมากับกล้องมักจะเป็นค่ากลางคือ 0 ที่เป็นสายตาสำหรับคนปกติ ซึ่งส่วนมากจะดูกันชัดไม่มีปัญหา แต่ใครสายตาสั้นหรือยาว และไม่ใส่แว่นหรือเพราะสั้นแค่นิดหน่อยหรือแว่นที่ตัดไว้นานมากแล้วสายตาสั้นขึ้นหรือยาวขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ก็ต้องหาพวกบวกหรือลบ (+/-) มาดูนะครับ ตัวอย่างอย่างของผมเองจะเป็น -1 หรือ -3 จะดูค่อนข้างชัด แต่ส่วนตัวยังสายตาไม่ยาว และสายตาสั้นนิดหน่อยบวกเอียง ก็งงกับตัวเองอยู่ มันควรจะเป็นบวกมั้ย แต่พอลองใส่ +1 กลับไม่ชัด ใส่ 0 ดูชัดนิดนึงแต่ไม่มาก ยังดูเบลอๆมัวๆ แต่พอใส่ -1 เท่านั้นแหละ เหมือนได้ดวงตาแห่งธรรม มองชัดแจ๋วหมดเลย 

สำหรับผู้เริ่มต้นกับกล้องฟิล์ม Hasselblad ที่เป็น Medium Format Camera ซึ่งป็นเรื่องต้องเรียนรู้ใหม่ ตั้งแต่การจับถือกล้อง การใส่ฟิล์ม การวัดแสง การเริ่มจัดองค์ประกอบภาพจากเฟรมสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นสื่งที่ไม่ได้ยากเกินไปที่จะเรียนรู้

Categories
Article

เรื่องของฟิล์มหนัง Kodak IMAX สีและขาวดำ

ตอนเริ่มถ่ายฟิล์มใหม่ๆแบบยังไม่มีความรู้เท่าไหร่ ประมาณ2007 ตอนนั้นเอาตรงๆชอบทุกฟิล์ม ถ่ายได้หมดจะยี่ห้อไหน สีขาวดำ สไลด์ บูด ได้หมดจริงๆ เพราะชอบความเป็นธรรมชาติของแต่ละชนิด ที่สีโทน ไม่มีตายตัว ใครว่าฟูจิต้องอมเขียวเสมอไป อยู่ที่อุณหภูมิแสงของแต่ละทวีปหรือช่วงค่าแสงเวลาต่างๆ ยังไม่รวมถึงเลนส์ที่ใช้เป็นเลนส์แก้วธรรมดา เลนส์พลาสติก หรือเลนส์แก้วที่โค้ดติ้งเพิ่ม แล้วก็น้ำยาต่างๆ อีกมันไม่มีอะไรตายตัวจริงๆ แต่ตอนนี้ คือเจอฟิล์มที่ชอบจริงๆละ แบบต้องหาซื้อติดไว้ตลอดเลย สำหรับของ120 คือ Kodak IMAX 

“ ความสนุกของกล้องฟิล์ม ไม่ใช่แค่โทนสี!! มันคือความคาดเดาได้ยากของภาพที่ออกมา ความสนุกที่ลบทิ้งไม่ได้ ไม่มีปุ่มdelete “

เหตุผลที่ชอบเพราะมันดูมีเอกลักษณ์เพิ่มกว่าฟิล์มสี/ขาวดำ/สไลด์ของ120 กว่าตรงที่มีรูหนามเตย เวลาสแกนก็จะเห็นรูหนามเตยหน่อยๆ ส่วนตัวมองว่าทำให้ดูมันเป็นฟิล์มเพิ่มขึ้นดี เพราะฟิล์ม120 คุณภาพค่อยข้างดี เรื่องความเนียนละเอียด ทำให้เวลาถ่ายถ้าไม่บอกบางทีก็ไม่รู้เลยว่าใช้ฟิล์มถ่าย นึกว่าใช้ดิจิตอลถ่ายแล้วใส่filter/plug-in/preset โทนสีฟิล์มแบบค่ากลางลงไป 

แต่ฟิล์ม Kodak IMAX เองก็ยังมีส่วนที่ไม่ค่อยชอบตรงที่ น่าจะมียิงโค้ดบอกรหัสฟิล์มตรงขอบหน่อยก็ยังดี แบบว่าตัวนี้คือ 5203,5213,5207,5219 เคยมีอยู่ครั้ง ที่ตอนถ่ายฟิล์มของทาง Kodak IMAX มาแรกๆแล้วไม่จดไว้ แค่ใส่ซองแล้วเก็บใส่แฟ้ม เวลาผ่านไป ลืมเลย แยกไม่ออก อันไหน 50D อันไหน 250D คือ ระหว่าง T(Tungsten) D(Daylight) ยังพอแยกได้บ้างตอนสแกน แต่ iso grain อย่าง 500T 200T ก็ยังพอจะแยกได้บ้าง ถ้าชำนาญ แต่ 250D กับ 50D คือ บอกตามตรงแยกไม่ได้จริงๆ ไม่เชี่ยวชาญพอ เพราะ250D มันก็ละเอียด เนียนพอสมควร ไม่ค่อยมีgrain ให้เท่าไหร่ 500T ยังพอมีให้เห็นบ้างนิดหน่อย 

กับอยากให้ทางค่าย Kodak ทำการผลิตฟิล์มหนังทั้งสีและขาวดำของ IMAX ออกมาเลยก็ดีครับ เพราะปัจจุบันที่มีซื้อขายและใช้ถ่ายภาพนิ่งกันอยู่ เป็นการที่ทางร้านหรือคนได้ไปขอซื้อหรือประมูลเศษฟิล์มที่เหลือจากการถ่ายหนังแล้วนำมารีโหลดเอง ซึ่งก็อาจจะมีปัญหาบ้างเช่นฟิล์มได้มเป็นรอยหรือมีแสงรั่วหรือโหลดมาความยาวไม่พอดี สั้นไปยาวไปครับ แต่ก็ไม่ได้ว่าหรือตำหนิคนโหลดนะครับ คือ เข้าใจตรงปัญหาตรงนี้ เพราะการโหลดฟิล์ม120 มันค่อนข้างยากกว่าฟิล์ม135เยอะมาก ซึ่งส่วนตัวเองก็ยังไม่สามารถที่จะโหลดฟิล์ม120ได้เองเลย ที่มีโหลดฟิล์มเองส่วนมากก็จะเป็นแค่ฟิล์ม135  

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ชอบนะ ไม่ใช่ไม่ชอบ ก็แค่ทุกครั้งที่ถ่ายฟิล์มแล้วเอาไปล้างสแกนเสร็จ ก็จะรีบเอากลับมาใส่ซองใหม่แล้วเขียนระบุไว้เลยว่าฟิล์มตัวนี้ชนิดไหน รวมถึงใช้กล้องเลนส์ยี่ห้ออะไร วันที่ถ่ายด้วย 

ข้อมูลคร่าวๆสำหรับฟิล์มหนังสี Kodak IMAX ปัจจุบันยังคงมีผลิตอยู่มาอยู่เรื่อยๆ เพราะวงการถ่ายภาพยนตร์ฮอลลีวูดยังคงมีผู้กำกับที่ใช้ฟิล์มถ่ายหนังอยู่ด้วย โดยรหัสปีผลิตล่าสุดจะเป็น Vision3 และจะมีISO ทั้งหมด4ระดับ คือ 50D,200T,250D,500T ครับ

ภาพตัวอย่างจากฟิล์มแต่ละชนิดครับ ก็พยามตอนสแกนจะไม่ปรับอะไรมาก และการล้างฟิล์มก็ล้างด้วยน้ำยาสูตรตรง คือ ECN-2 ครับ

Kodak Eastman IMAX 65MM Vision3 50D/5203

Kodak Eastman IMAX 65MM Vision3 200T/5213

Kodak Eastman IMAX 65MM Vision3 250D/5207

Kodak Eastman IMAX 65MM Vision3 500T/5219

Kodak Eastman 65MM Double-X [250]

Kodak Eastman Double-X ปกติจะมีทำแค่2format ที่ขายอยู่ในท้องตลาดของการถ่ายหนัง เลขโค้ด ขึ้นด้วย5 จะเป็นฟิล์ม35mm [5222] เลขโค้ดขึ้นด้วย 7 จะเป็นฟิล์ม 16mm [7222]

แน่นอนละฟิล์ม Double-X ที่มีขนาดประมาณ 65mm เป็นฟิล์มลิมิตเต็ดที่ทาง Kodak Eastman จับมือกับทาง IMAX ผลิตขึ้นมาให้กับผู้กำกับโนแลนโดยเฉพาะสำหรับการถ่ายทำหนังเรื่อง Oppenheimer [2023] และเศษฟิล์มที่เหลือจากการถ่ายหนัง ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้ถ่ายทำหนังได้เนื่องจากความยาวอาจไม่พอ ได้ถูกนำมาประมูลและผู้ที่ประมูลได้ไป ก็ได้นำมาโหลดใส่ กลักฟิล์ม 120 Medium Format Camera และนำมาจำหน่ายให้กับคอคนรักกล้องฟิล์มที่ชื่นชอบฟิล์มขาวดำและกล้องMedium Format

Develop by Kodak D-76 [1+1] 10min

Dev. D-96 (Stock) 8min

ข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับตัวฟิล์มหนังขาวดำ อย่าง Eastman Double X มีคร่าวๆประมาณนี้ครับ 

Cr. ลิ้งค์ที่มาของข้อมูลแบบละเอียดครับ 

Categories
Interview

Interview : Jennis

เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ
Jennis Oprasert

IG : o_o.jennis.x_x

ISF : เริ่มรู้จักกล้องฟิล์มนานหรือยังครับ

เจนนิษฐ์ : ถ้าเริ่มรู้จักน่าจะตั้งแต่มัธยมมั้งคะ เอาจริงๆไม่แน่ใจเพราะว่าอาจจะเคยได้ยินป๊าพูดมา เพราะว่าป๊าเป็นช่างภาพ แต่ว่าพอเข้าวงมา อาจจะมีคนถ่ายเบื้องหลังเรา หรือว่าเวลาไปออกงาน

ISF : ด้วยฟิลม์ ??

เจนนิษฐ์ : ก็มีคนใช้กล้องฟิล์ม แล้วก็เริ่มมีเมมเบอร์เริ่มใช้บ้าง อันนั้นน่ะ ถึงจะค่อย ๆ แบบ อ๋อ กล้องฟิล์มคืออย่างนี้

ISF : แล้วพอรู้จักแล้ว เราสนใจมันยังไงบ้างครับ

เจนนิษฐ์ : ได้ไปรู้จักแบบว่าพี่ช่างภาพที่สนิทกัน แล้วเขาใช้ฟิล์มถ่ายตลอด ก็เลยแบบรู้สึกว่า เอ้ย ไอจีของเขาอะ รูปที่มันออกมามันแตกต่าง เพราะว่าเขาจะลงแต่ฟิล์มล้วนเลย

แล้วเวลาถ่ายอะทั้งเราก็ลุ้น ทั้งเขาก็ลุ้นว่ามันจะออกมาสวยไหม เราก็ไม่รู้ฟิล์มจะรั่วหรือเปล่า แสงจะออกมาแบบเหมือนที่คิดไว้ไหม มันเป็นความลุ้นอย่างหนึ่ง

ตอนแรกก็จะนึกว่า กล้องฟิล์มมันก็มีแต่กล้องใหญ่ที่ต้องใส่ฟิล์มเองเหมือนปกติ จนกระทั่งมีคนส่งกล้องใช้แล้วทิ้งมาให้เหมือนช่วงนั้นน่าจะได้ไปญี่ปุ่นครั้งแรก ๆ เลย ก็มีคนส่งมาให้แล้ว ก็เลยพกล้องไปใช้ที่ญี่ปุ่นด้วย ก็เลยรู้จักว่า เฮ้ยมันก็สะดวกเหมือนกันนี่นา เพราะว่าหนูใส่ฟิล์มไม่เป็น

ตอนแรกก็นึกว่าไอ้กล้องใช้แล้วทิ้งไงก็คือเอาไปให้เขาล้างแล้วจะได้กล้องคืน อ๋อ ไม่นี่เราทิ้งไปเลยได้นี่นาใช่ใช่ ก็ค่อยๆเรียนรู้ไป

ตลกมากคือประสบการณ์ใช้กล้องฟิล์มใช้แล้วทิ้งครั้งแรกคือไม่รู้ว่า iso มันน้อยแค่ไหนต้องใช้แฟลชเท่าไร เราก็ถ่ายไปเลยถ่ายมั่วเปิดแฟลชบ้าง ไม่เปิดบ้างไม่รู้ ออกมามืด

ISF : มืดทั้งม้วน ??

เจนนิษฐ์ : มืดทั้งม้วนมืดเลย มืดแบบเห็นแค่แบบเป็นตัวเงา ๆ อะไรอย่างนี้ ก็เลยค่อย ๆ เรียนรู้ว่า อ๋อ มันต้องแสงเยอะมากพอสมควร แต่หนูว่ามันก็สนุกตรงนี้นะคะ แบบรูปมันคาดเดาไม่ได้ จะชัดบ้าง เบลอบ้าง ก็เท่ดี

ISF : เรื่องสนุกๆ เกี่ยวกับการใส่ฟิล์มไม่เข้า มันคือยังไง

เจนนิษฐ์ : ก็คือใช้กล้องไม่เป็นด้วยครั้งแรก จําไม่ได้ของอะไร เราไม่รู้ว่าแบบ ถ้าใส่ฟิล์มไม่ติด มันจะออกมายังไง แล้วก็กดถ่าย มันไม่มีตัวเลขรันด้วยรุ่นนี้ มันไม่มีบอกว่าถ่ายได้หรือไม่ได้

ISF : ไปเท่าไรแล้ว ไม่รู้เลย

เจนนิษฐ์ : ใช่ ก็คือก็พยายามใส่ แล้วก็กดแล้วก็รู้สึกเหมือนว่า มันไม่เกิดอะไรขึ้นนะอะไรอย่างนี้ สุดท้ายก็น่าจะได้ทิ้งไปเลยฟิล์มนั้น เพราะว่าเพิ่งรู้ว่าเปิดปุ๊บ อ๊ะคือพังแล้ว

ISF : ไม่มีแขกรับเชิญคนไหนที่ใช้กล้องใช้แล้วทิ้งเลยนะ หมายความว่าอาจจะมีใช้บ้างประกอบ อันนี้คือใช้แล้วทิ้งอย่างเดียวเลย

เจนนิษฐ์ : คือถามว่ามีไหม มีแต่ว่าใช้ไม่เป็น เป็นพวกบ้าซื้อก่อน ซื้อสักพักนึงเริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะใช้แล้วทิ้งดีกว่า ISF : ไม่ตอบโจทย์ไม่ไลฟ์สไตล์เรา

เจนนิษฐ์ : ใช่เพราะว่าพอเป็นกล้องใช้แล้วทิ้งก็ออกมาตลกบ้างอะไรอย่างงี้ ก็ไม่ซีเรียส เมื่อก่อนเราอาจจะรู้สึกว่ารูปมันต้องชัดอะถึงจะถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้ก็คือเบลอก็ลง เท่

ISF : กล้องใช้แล้วทิ้งของเราเนี่ยมันต้องแบบลักษณะไหน ยี่ห้อไหน ที่เราใช้แล้วรู้สึกชอบ

เจนนิษฐ์ : เคยใช้แค่ fuji กับของ kodak ค่ะ ก็คือรุ่นยอดฮิต แต่ว่าถามว่าถ้ามีคนซื้ออย่างอื่น หนูก็ใช้ หนูรู้สึกว่าไม่ได้ติดกับฟิล์มรุ่นนี้หรือว่ายี่ห้อนี้ ก็ให้มันเป็นไปตามสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ไม่ติดอะไรรู้สึกว่าฟรี สนุกกว่า เพราะว่าไม่รู้เหมือนกันว่า ทําไมในความรู้สึกพอถ่ายฟิล์มแล้วรู้สึกว่าคอมโพสมันเท่ขึ้นเองโดยตัวของมันเอง

เจนนิษฐ์ : ฝากติดตาม i shoot film magazine ด้วยนะคะ

ตัวอย่างรูปที่ถ่ายด้วยกล้องของน้องเจนนิษฐ์

THANK YOU

Categories
Back Issue

I SHOOT FILM / SPECIAL / PART 8

imperfection is beauty …

บางครั้ง ความไม่สมบูรณ์แบบของภาพถ่าย ที่เกิดจากฟิล์ม ที่เกิดจากกล้อง ก็สร้างความตื่นเต้น ความสวยงาม ให้กับคนที่กดชัตเตอร์ได้ … เช่นเดียวกับน้องเจนนิษฐ์ อดีตสมาชิกวง BNK48 ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพฟิล์มด้วย “กล้องใช้แล้วทิ้ง” ที่เหล่าแฟนคลับมอบให้ …

ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์สนุกๆได้ใน Special Interview และในเมื่อพูดถึงความไม่สมบูรณ์แล้ว ทีมงานจึงอยากนำเสนอภาพถ่ายแฟชั่นของน้องเจนนิษฐ์ ด้วยเทคนิคการถ่ายภาพแบบ “Red Scale” ซึ่งจะมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับเทคนิคดังกล่าว และภาพถ่ายแฟชั่นสวยๆให้ชมกันครับ

ในโอกาสที่เป็นฉบับส่งท้ายปลายปี 2566 ขอให้ชาว I Shoot Film ทุกๆท่าน มีความสุข สนุกสนาน ไปกับการท่องเที่ยว และได้ถ่ายภาพฟิล์มสวยๆกันนะครับ

แล้วพบกันใหม่ปีหน้าครับ

กำพล กิตติพจน์วิไล

บรรณาธิการ (Editor)

#ishootfilmmagazine

Ookbee

MEB

Hytexts

ISSUU

Categories
Article

Bokeh Effect on Film with Hasselblad

มาแชร์เทคนิคประสบการ์ณลูกเล่นแปลกๆกับกล้องฟิล์มครับ อันนี้เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของโบเก้ (Bokeh) ที่ปกติเวลาเราถ่ายรูปข้างหลังให้เบลอแล้วเป็นแสงข้างหลังจะเป็นวงกลมหรือหกเหลี่ยมแปดเหลี่ยมนั้น นั้นมันเกิดขึ้นจากรูรับแสงของเลนส์กล้องถ่ายรูปครับ แต่แผ่นโบเก้จะทำให้รูปร่างเปลี่ยนไป เช่นเป็นรูปดาว, รูปเกล็ดหิมะ, รูปตัวโน้ต ฯลฯ แค่เอาแผ่นโบเก้มาปิดที่หน้าเลนส์ แล้วเปิดรูรับแสง/ตั้งค่ารูรับแสงไว้ให้กว้างที่สุด เช่น f1.4 หรือต้องแล้วแต่เลนส์ ว่าขนาดหน้าเลนส์และเป็นช่วงเลนส์แบบเทเลซูม หน้าเลนส์กว้าง ก็สามารถเปิดรูรับแสงได้ที่ f5.6 ซึ่งก็ยังสามารถเปลี่ยนรูปร่างของตัวโบเก้ได้เหมือนกันครับ

เลนส์แนะนำสำหรับกล้อง DSLR / SLR 50mm ขึ้นไปครับ แต่รูรับแสงต้องเปิดที่ f1.4 หรือ f1.8 เท่านั้น f2.8 อาจจะยังไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างของตัวโบเก้ได้

ส่วนถ้าเป็นเลนส์ของ hasselblad กล้อง medium format เลนส์ที่แนะนำจะมี 110,120,150,250,350,500 ระยะ110ขึ้นไป 80/2.8 รูรับแสงกว้างที่สุดยังเล็กกว่ารูของแผ่นโบเก้ครับ

ตัวอย่างรูปจากกล้องฟิล์ม 120 Medium Format ครับ ฟิล์มที่ใช้เป็นฟิล์มหนัง Kodak Eastman Vision3 IMAX 500T/5219 ถ่ายด้วยเลนส์ช่วง 120mm [Carl Zeiss Planar 120mm Makro F4 CF T*] เปิดรูรับแสงที่ f4

Categories
Article

Red Scale Film

Redscale Photography เทคนิคการถ่ายภาพกลับด้านฟิล์ม Redscale เป็นเทคนิคในการถ่ายภาพฟิล์มด้วยด้านที่ “กลับด้าน” จากด้านเดิม ทำให้ภาพแบคกราวน์ของฟิล์มกลับมากลายเป็นสีแดง เทคนิคนี้เป็นการทำการทดลอง (experimental) รูปแบบง่ายๆ ที่ทำให้ได้โทนภาพแตกต่างจากฟิล์มทั่วไปอย่างสิ้นเชิง วิธีการสร้างฟิล์มม้วน redscale ทำได้ไม่ยาก โดยการนำฟิล์มกลักเปล่ามาโหลดฟิล์มคืนแบบกลับหัวกัน และม้วนฟิล์มเข้ากลักเปล่าเข้าถุงมืด และทำการตัดฟิล์มออกจากกลักเดิมนั้นทิ้ง ฟิล์มที่จะถ่ายเป็น redscale จะมีความไวต่อแสงน้อยไปอยู่บ้างเนื่องจากแบคกราวน์ใหม่จะมีสีแดงเข้มๆ ก็ให้ชดเชยแสง 1-2 สตอป ตัวอย่าง ฟิล์ม fuji xtra 400 redscale ให้ถ่ายที่ 200iso หรือ 100iso ครับ ถ้าอยากได้โทนภาพแปลกๆ ลองใช้วิธีแปลกๆ แบบ redscale จากความเห็นแล้ว สนุกกว่า ยังดูดีกว่าและหวังผลได้ง่ายกว่าเล่นฟิล์มหมดอายุครับ

Redscale เป็นเทคนิคการถ่ายภาพฟิล์มที่มีการเปิดรับแสงฟิล์มจากด้านที่ไม่ถูกต้อง “redscale” เกิดขึ้นเพราะมีการเปลี่ยนสีอย่างมากเป็นสีแดงเนื่องจากชั้นฟิล์มที่ไวต่อสีแดงถูกเปิดเผยก่อนแทนที่จะเป็นชั้นสุดท้าย

ฟิล์มสีRed Scale คือการกลับด้านฟิล์มจะช่วยทำให้ภาพถ่ายของคุณมีเฉดสีที่สะดุดตาไม่เหมือนใคร

ตัวอย่างจากฟิล์ม Lomography Redscale XR ISO 50–200 ถ่ายใน f stop ที่ต่างกัน วัดแสงค่าตรงกลางแล้วก็ถ่าย +1 , 0 และ -1

ซึ่งจากที่ทดลองการถ่ายฟิล์ม Red Scale แนะนำให้ถ่าย over 1-2 stop จะได้ภาพที่มีเฉดสี เริ่มตั้งแต่สีแดงเพลิง ไปจนถึงสีส้มที่สะดุดตา สีเหลืองที่ดูโดดเด่น รวมทั้งสีทองที่ดุจดั่งต้องมนตร์ คร่าวๆประมาณนี้ครับ

Lomography Redscale XR [120] ISO 50–200

Kodak Eastman Vision2 200T/5217 with Ramjet

Categories
Article

เรื่องคราบรอยขี้กลากบนฟิล์ม120ขาวดำ

ฟิล์มขาวดำ120 สิ่งที่บางครั้งสามารถเกิดขึ้นได้คือคราบขี้กลาก เพราะมันคือความชื้นของตัววัสดุกระดาษที่พันตัวฟิล์มไว้ ซึ่งไม่มีความแน่นอนในการกันไม่ให้มันเกิดขึ้น

ถ้าเอามาถ่ายงานจริงจัง ก็อาจจะต้องทำใจยอมรับความเสี่ยงตรงนี้กันหน่อย แต่ถ้าเอามาถ่ายเล่น อยากให้มองในอีกมุมว่า คราบขี้กลากมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับกล้องดิจิตอล และกล้องดิจิตอลก็เลียนแบบไม่ได้ พูดแบบเข้าใจง่าย มันเกิดขึ้นกับการถ่ายด้วยฟิล์มขาวดำขนาด120เท่านั้น ซึ่งอยากให้มองว่ามันเป็น Special Effect สิ่งพิเศษที่ธรรมชาติช่วยสร้างสรรค์ให้น่าจะดีกว่า

แต่ก็นั้นแหละ น้อยคนจะยอมรับและเข้าใจตรงนี้ได้ เพราะทุกคนก็คงคาดหวังว่าจะได้รูปที่เนียนสวยคมชัด กับการถ่ายกล้องฟิล์ม ซึ่งมันอาจจะย้อนแย้งไปหน่อย เพราะความเป็นฟิล์มมันไม่มีทางให้ลายละเอียดเนียนสวยคมชัดได้อยู่แล้ว มันก็ได้แค่ระดับนึง ถ้าคาดหวังตรงนี้ คิดว่าการถ่ายฟิล์มคงจะไม่ตอบโจทย์แล้วนะครับ

ส่วนตัวชอบมากๆ และมองว่าสวยเลย ถ้ามีขี้กลากแบบจางๆ ไม่เยอะเกินไป มันดูมีเสน่ห์ของความเป็นฟิล์มขาวดำดี เพราะถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลก็ไม่มีทางได้effect แบบนี้

Ilford HP5 Plus 400 [62CHN7X01/01] Expired FEB 2021
Ilford HP5 Plus 400 [62CHN7X01/07] Expired FEB 2021

พอดีรูปสุดท้ายเกิดจาก Back Magazine ของกล้องHasselblad ช่องว่างระหว่างเฟรมขยับห่างขึ้นเรื่องๆ เลยทำให้รูปสุดท้ายถ่ายเกือบไม่ติดครับ

Ilford HP5 Plus 400 [66AHN1C01/02] Expired JUNE 2021
Ilford HP5 Plus 400 [70AHN7X01/01] Expired OCT 2021

Categories
Article

Hasselblad Polaroid Back (HassyPB) ฝีมือคนไทย สำหรับผู้รักในกล้องฟิล์ม

สำหรับคนเล่นกล้องฟิล์มคงจะรู้จักกล้องฟิล์ม Hasselblad อยู่แล้ว คงไม่ต้องมาอธิบายกันเยอะนะครับ เข้าเรื่องเลย Hassy PB คืออะไร มันคือการที่เราเอาฟิล์มโพลารอยด์ (Polaroid) ของค่ายฟูจิฟิล์ม (Fujifilm) คือตัว ฟิล์ม Fujifilm Instax SQUARE ที่เป็นโพลารอยด์สี่เหลี่ยมจตุรัสเหมือนกับฟิล์มที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มHasselblad เพราะเสน่ห์และเอกลักษณ์ของกล้องฟิล์มยี่ห้อ Hasselblad คือกล้องฟิล์ม Medium Format ใช้ฟิล์มขนาด 120 ถ่ายรูปออกมาเป็น 1:1 หรือคือสี่เหลี่ยมจตุรัส เลยเป็นเหตุผลว่าทำไม Hassy PB ถึงเลือกใช้ฟิล์ม instax ที่เป็น square หาใช่ใช้ฟิล์ม mini หรือ wide

เวลาใส่กับตัวกลักที่ใส่ตัวโพลารอยด์รุ่นเก่า Fujifilm FP-100C ที่ได้เลิกผลิตไปแล้ว

รูปตัวอย่างของจาก Fujifilm Instax จะมี3 ขนาด คือ Mini, Wide , Square

เมื่อก่อนกล้องHasselblad เคยออกตัว Polaroid Back มากับฟิล์มของฟูจิ Fujifilm FP-100C ฟิล์มโพลารอยด์ที่เลิกผลิตไปแล้ว

ตัวฟิล์ม FP-100C เองไม่ใช่ฟิล์มที่สำหรับกล้องHasselblad โดยตรงซึ่งตัวฟิล์มโพลารอยด์จะมีขนาดประมาณ 3.25 X 4.25 Inches ซึ่งภาพที่ได้จะออกมาไม่เต็มแผ่นครับ แต่ยุคสมัยนั้นคนทำงานจะใช้เพื่อการเช็กค่าแสงก่อนจะถ่ายจริงลงบนตัวฟิล์มครับ

โพลารอยด์รุ่นเก่าจะดึงรูปออกด้านข้าง

Hassy PB มาพร้อมกับวัสดุที่มีความคุณภาพ ไม่ใช่แค่กล้องของเล่นอย่างที่เราเห็น ซึ่งเป็นเรื่องความใส่ใจจากทีมพัฒนาเป็นอย่างมาก และทีมที่พัฒนากล้องตัวนี้ก็เป็นฝีมือคนไทย

Hassy PB รุ่น1 และ 2 แถบจับจะอยู่ด้านบน ซึ่งบางคนอาจจะมีตะขิดตะขวง เพราะโพลารอยด์ที่เราคุ้นชิน แถบจับจะอยู่ด้านล่าง และด้วยเหตุผลที่ Hassy PB รุ่น1และ2 ทำออกมาเป็นดีดออกล่างเพื่อที่จะให้ใช้กับตัว Hasselblad Prism Finder (PME45 / 45 Degree) ซึ่งได้ทั้งจะถ่ายโดยใส่ Prism ในการช่วงมองให้โฟกัสหรือถ่ายง่ายขึ้น กว่าใช้ช่องมองแบบปกติ (Waist Level Viewfinder)

Hassy PB รุ่น1 และ 2 สารถมาถ่ายให้แถบจับโพลารอยด์อยู่ด้านล่างแบบที่คุ้นชินได้ โดยการถ่ายกลับหัว ซึ่งถ้าใช้ตัว Prism ก็สามารถถ่ายได้อย่างง่ายดาย

คุณยงยุทธ คะสาวงค์ ผู้เชี่ยวชาญ Hasselblad ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้สร้างและก่อตั้ง คอมมูนิตี้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกล้อง Hasselblad

” HassyPB ไม่ได้มาแทนฟิล์มและไม่ได้มาแทนดิจิตอล มาเติมเต็มสิ่งเดิมที่มันเคยมี และเป็นความสนุกสนาน แจกรูปถ่ายความทรงจำให้กัน ”

Yongyut John Khasawong

Hassy PB i (First Generation)

Hassy PB รุ่นแรก รุ่นทดลอง เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อราวๆเดือนพฤษภาคมปี2565/May 2022 ในกลุ่มFacebook ที่มีชื่อว่า Uses Hasselblad Thailand โดย อ.ยุทธ์ ผู้สร้างและก่อตั้งคอมมูนิตี้ขึ้นมา ได้ทำการประดิษฐ์ขึ้นมากับทางทีมงาน จากการได้ทดรอเอาชิ้นส่วนบางส่วนของกล้อง Fuji Instax รุ่นSQ6 มาดัดแปลงและเพิ่มบางชิ้นส่วนที่เป็นการสร้างขึ้นมาใหม่เข้าไปครับ ซึ่งตัวกล้องยังมีปัญหาบางส่วนอาธิเช่น ต้องถ่ายที่ f16 ขึ้นไปเท่านั้น ภาพถึงจะโฟกัสเข้า ถ้าใช้ f stop ที่ต่ำกว่านั้น ต้องทำการชดเชยระยะโฟกัส หรือ ที่เรียกว่า Shift Focus เพิ่มเติม เช่น เราหมุนเลนส์กล้องไปโฟกันที่ 1เมตร แต่หลังจากนั้นให้หมุนเลนส์กล้องเพิ่มไปอีก 0.5 ถึง 1 เมตร โดยที่ไม่ขยับตำแหน่งของตัวกล้อง ก็จะทำให้สามารถถ่ายที่ f2 หรือ f stop ที่กว้างๆ ทำให้เกิดหน้าชัดหลังเบลอได้ ตามคุณภาพของตัวเลนส์ครับ

Hassy PB ii (Second Generation)

Hassy PB2 เป็นรุ่นที่ทาง อ.ยุทธ์และทีมงานยังได้หาทางให้ถ่าย f stop เพิ่มจาก f16 ไปที่ f8 ที่สามารถถ่ายได้โดยที่ไม่ต้องทำการ shift focus ครับ เป็นการแสดงออกถึงการเอาใจใส่ของทาง อ.ยุทธ์และทีมงานเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเป็นคนอื่นๆ น่าจะท้อถอยหรือล้มเลิกไปแล้วอย่างแน่นอน

เหตุผลที่ทำไม Hassy PB รุ่น1 และ 2 แถบโพลารอยด์ถึงอยู่ด้านบน เพราะทางทีมงานได้ออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับ hasselblad prism finder (ปริซึมมีไว้ใช้แทนช่องมองภาพแบบ waist level finder ช่วยให้โฟกัสง่ายขึ้นมาก มุมมองเหมือนตาเห็น ภาพไม่กลับซ้ายเป็นขวา) เพราะถ้าให้แถบโพลารอยด์ และดีดขึ้นมันจะติดตัวปริซึม ซึ่งก็ต้องคอยถอดเข้าถอดออก ตัวhassy pbครับ 

Hassy PB iii (Third Generation)

Hassy PB3 จะไม่ต้องทำการ Shift Focus แล้ว ซึ่งเราสามารถถ่าย f2.8 หน้าชัดหลังเบลอได้เลย ยกเว้นรุ่น200 series และแถบโพลารอยด์จะอยู่ด้านล่าง ซึ่งกล้องโพลารอยด์อื่นๆทั่วๆไป ส่วนมากที่เราคุ้นเคยคือ แถบที่จับโพลารอยด์จะอยู่ข้างล่างครับ นอกเหนือจากนั้นยังเพิ่มระบบปิดเปิด กันกรณีฟิล์มโพลารอยด์ลั่นออกมาเพราะเผลอไปโดนปุ่ม แล้วก็ยังมีปุ่มsafety กันแผ่นdark slideหลุดออกโดยไม่ตั้งใจ คร่าวๆที่มีฟังค์ชันดีๆเพิ่มเข้ามาครับ

Hassy PB ใช้งานร่วมกับฟิล์ม Fujifilm Instax SQUARE วัสดุส่วนนึงของตัวอุปกรณ์มาจากกล้องฟิล์มโพราลอยด์ผลิตจากญี่ปุ่น และวัสดุอีกส่วนนึงได้ทำการขึ้นรูปใหม่ด้วยเหล็กและอลูมิเนียมทนทานแข็งแรง ใส่ใจทุกรายละเอียด