สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง กล้อง Hasselblad แต่ผมมีความรักใน Hasselblad ประกอบ กับใช้มาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งผมได้รวบรวมความรู้ต่างๆ จาก อ.ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง และ ช่างซ่อมกล้อง Hasselblad ที่ให้ข้อมูล ผมมาตลอด รวมถึงจากประสบการณ์ของผมเอง ผมจึงอยาก นำข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ มาแชร์ต่อให้ทุกท่านที่มีความสนใจ ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย หากข้อมูลผิดพลาดประการใด ก็ขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ
เรื่องวิธีดูที่เก็บแผ่นDark Slide Holder ที่ติดกับกลักฟิล์มของกล้องHasselblad ว่าของแท้กับของเทียบต่างกันยังไง
Dark Slide Holder ที่เป็นของแท้จะไม่มีขายแยก เพราะจะออกมาพร้อมกับตัวกลัดฟิล์มบางรุ่น หรือ รุ่นหลังๆเท่านั้น และไม่สามารถถอดไปติดกับตัวกลัดฟิล์มรุ่นก่อนได้ครับ ส่วนที่เป็นของเทียบจะมีขายอยู่เป็นของใหม่ ราคาอยู่ที่หลักร้อยถึงหลักพันกว่าบาทเท่านั้น
Dark Slide Holder ของแท้กับของเทียบก็จะแตกต่างกันประมาณนี้ (ล่าสุด) ให้สังเกตุที่ฟ้อนต์ยี่ห้อ ของแท้จะเขียนว่า Hasselblad Sweden แต่ของเทียบจะเขียนแค่ว่า For Hasselblad (แต่อนาคตอาจจะมีทำได้เหมือนกันมากขึ้นก็เป็นได้) และตัวเนื้อพลาสติกเกรดของแท้เท่าที่สัมผัสดูจะเงาๆด้านๆนิดๆหน่อยๆ ก็บอกไม่ถูก แต่คุณภาพดีเลยครับ ส่วนของเทียบเนื้อพลาสติกจะมีทั้งแบบด้านและเงา แยกชัดเจนจะไม่เหมือนของแท้ที่มันผสมกันเงากึ่งด้านหน่อยๆ
รูปตัวอย่างน่าจะพอเห็นได้ชัดนะครับ ว่าอันไหนของแท้ อันไหนของเทียบ
ส่วนด้านในอย่างที่บอกไปคร่าวๆว่าทำไมของแท้ถึงไม่มีขายแยกหรือไม่สามารถติดกับกลัดฟิล์มรุ่นแรกๆบางตัวได้ ก็เพราะกลักฟิล์มรุ่นที่มีที่เก็บแผ่น Dark Slide Holder มันจะมีรูกับน็อตที่ยึดระหว่างตัวกลักฟิล์มกับตัวholderครับ แต่ของเทียบคือเป็นกาวสองหน้าติดอยู่ที่ตัวholderและติดกับหนังด้านนอกครับ
คร่าวๆ รุ่นบอดี้กล้องที่ตัวกลักฟิล์มจะมีติดตัวเก็บแผ่นดาร์กสไลด์มาด้วยจะมีตามนี้ครับ 503cw, 501cm, 202FA, 203FE, 205TCc และ 205Fcc ครับ
ซึ่งส่วนตัวผมก็ไม่ได้มีปัญหากับของแท้หรือของเทียบนะครับ เน้นใช้งาน แค่กันคนบางกลุ่มที่หัวหมอจะมาหลอกหรือโก่งราคา เพราะกลักฟิล์มรุ่นที่มีที่เก็บแผ่น Dark Slide Holder มันเป็นกลักฟิล์ม รุ่นหลังๆที่ผลิตออกมาน้อย และราคาในตลาดมือสองก็อาจจะแพงกว่ากลัดฟิล์มรุ่นธรรมดา รุ่นแรกๆนิดนึง
เรื่องวิธีดูว่าบอดี้กล้องและตัวกลักใส่ฟิล์ม ของเรานั้นผลิตปีไหน มันจะมีรหัสลับบอกอยู่ครับ
V H P I C T U R E S
1 2 3 4 5 6 7 8 9 0
ที่ด้านหลังของตัวกล้อง(Body Camera) กับกลักฟิล์ม (Magazine Film Back) จะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษอยู่ ซึ่งถ้าเราดูตามรหัสข้างบน
U = 7 , T = 6 เป็น 76 กลักฟิล์มตัวนี้ผลิตเมื่อปี 1976 เป็นต้นครับ
ส่วนของบอดี้กล้อง U = 7 , R = 8 บอดี้กล้องตัวนี้ผลิตเมื่อปี 1978 ครับ
และอีกเรื่องนึก ตัวไส้ในของตัวกลักฟิล์ม ซึ่งปัจจุบันจะค่อนข้างสลับกันมั่วไปหมด หรือ บางตัวเลขก็ถลอกออก ไม่ก็หลุดออกไปทำให้ไม่รู้ว่าเป็นรหัสอะไร แต่ตามหลักแล้ว ใส้ในกับตัวหลักต้องเป็นเลขเหมือนกัน แต่จริงๆถามว่าสำคัญมั้ย หรือ มันมีผลต่อการถ่ายรูปมั้ย บอกเลยครับ ไม่มีผลใดๆกับการถ่ายรูป ซึ่งในบางครั้งได้เลขมาตรงกัน แต่อาจจะต้องมาเสียเงินซ่อมแซมเยอะกว่าเลขที่ไม่ตรงกันค่อยข้างบ่อย เพราะการที่เลขตรงกันเจ้าของเดิมอาจจะไม่เคยเอาออกมาใช้เลย เป็นของเก่าเก็บ ส่วนอันที่สลับไปมาก็เกิดจากการใช้งานในกองถ่ายเมื่อก่อนที่ต้องใช้กลักฟิล์มหลายกลัด เพราะต้องถ่ายฟิล์มหลายม้วน ในเวลาที่จำกัด ก็เลยทำให้ไส้ในมันสลับไปมา ตอนที่ขายต่อมือสองกันครับ
วิธีดูก็ง่ายให้ดูเลขของไส้ในจะมีเลข 3หลัก (รูปข้างบน) 838 ก็จะตรงกับ 30EI60838 ที่เป็นเลข3ตัวหลังครับ
บางรุ่นอาจจะเป็น 6หลัก พร้อมกับมีตัวอักษร2ตัว เหมือนที่กลักด้านนอกครับ อันนี้แล้วแต่รุ่นของตัวกลักฟิล์ม เพราะ Hasselblad มีผลิตตัว Magazine Film Back มาก็ค่อนข้างจะหลายรุ่นครับ
Focusing Screen
Acute matte focusing screen D type ที่มีความสว่างมาก โฟกัสง่าย เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดมากับตัวกล้อง (ลักษณะของ Acute Matt screen D type สังเกตุง่ายๆ จะเห็นว่าขอบของสกรีนมีรอยบาก 2 ตำแหน่ง) ส่วนสกรีน Acute Matt Screen type จะไม่มีรอยบากสองจุดนี้ Acute Matt screen ผลิตแยกจำหน่ายเพื่อ upgrade ให้รุ่นที่ผลิตออกมาก่อนหน้านี้ เช่น 500cm 503cx 500ELM 500ELX 553ELX ที่ยังเป็น Bright screen หรือ Standard screen ได้ใช้สกรีนที่สว่างขึ้น
ส่วน Acute Matt Screen D type สกรีนที่มีรอยบาก 2 จุดนี้และเราเห็นแยกขายนั้น อาจเป็นไปได้ว่าอาจถูกถอดสับเปลี่ยน เพื่อนำมาขายแยกต่างหาก เพราะปกติแล้ว Acute Matt Screen D type ผลิตมาเท่าๆ กับจำนวนกล้อง 501cm หรือ 503cw เท่านั้น ไม่ได้ผลิตเกินเพื่อจำหน่ายให้กล้องรุ่นๆ ก่อนๆ อับเกรด
Diopter
เคยสงสัยมั้ยได้กล้องฟิล์มHasselbladมาแล้ว แต่ทำไมมองไม่ชัด หรือ ถ่ายออกมาโฟกัสไม่เข้า ทั้งที่ก็เปลี่ยนตัว “Focusing Screen” เป็นแบบ Acute Matt Screen type ที่มีความสว่างมาก โฟกัสง่าย แต่ก็ยังมองไม่ชัดอยู่ที่ เหมือนจะชัด เหมือนจะโฟกัสเข้า แต่พอดูรูปแล้วหรือเอาฟิล์มไปล้างสแกนออกมา กลับเบลอไม่ชัด จนหลายคนน่าจะมีอาการเลิกเอากล้องHasselbladมาถ่ายกันเลยทีเดียว และก็ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุจริงๆจังๆสักคน ทุกคนล้วนเข้าใจว่า เป็นเพราะตัวสกีนไง แต่ถ้าเปลี่ยนสกินจากตัว Standard Foucing Screen เป็นแบบ Acute Matt Screen type แล้วทำไมยังมองไม่ชัด ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีใครตอบได้
จนวันนึงผมได้รู้ว่าเราสามารถเปลี่ยนตัวแว่นขยายหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Diopter ซึ่งมันมีระยะต่างกันด้วยกันถึง 11ระยะ จะแบ่งเป็น +5 ถึง 0 แล้วก็ไปที่ -5 ซึ่งตัว Diopter นี้จะมีทั้งแบบแผ่นที่ถอดเปลี่ยนกับช่องมอง waist level viewfinder และแบบเกลียวคล้ายฟิวเตอร์ที่เป็นวงกลมสำหรับเปลี่ยนกับ prism finder
ซึ่งความแตกต่างระหว่างตัว waist level viewfinder กับ prism finder ต่างกันแค่ waist level จะมองสลับซ้ายเป็นขวาขวาเป็นซ้าย ซึ่งหลายๆคนจะไม่ค่อยชอบเพราะมันทำให้สลับสน แต่บางคนก็จะทำความเคยชินได้ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ตัว prism นอกจากจะปรับซ้ายเป็นซ้ายขวาเป็นขวาแล้ว ภาพที่มองจะค่อนข้างตรงกับตัวเลนส์มากกว่าหน่อยนึง เพราะเท่าที่ใช้มาและสังเกตุดูเหมือนตัว waist level มันจะซูมเข้าไปมากกว่านิดหน่อย ซึ่งส่วนตัวก็ชอบตัวwaist level นะครับ เพราะมันดูชัดดีตอนโฟกัส
ส่วนมากตัว Diopter ที่ติดมากับกล้องมักจะเป็นค่ากลางคือ 0 ที่เป็นสายตาสำหรับคนปกติ ซึ่งส่วนมากจะดูกันชัดไม่มีปัญหา แต่ใครสายตาสั้นหรือยาว และไม่ใส่แว่นหรือเพราะสั้นแค่นิดหน่อยหรือแว่นที่ตัดไว้นานมากแล้วสายตาสั้นขึ้นหรือยาวขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ก็ต้องหาพวกบวกหรือลบ (+/-) มาดูนะครับ ตัวอย่างอย่างของผมเองจะเป็น -1 หรือ -3 จะดูค่อนข้างชัด แต่ส่วนตัวยังสายตาไม่ยาว และสายตาสั้นนิดหน่อยบวกเอียง ก็งงกับตัวเองอยู่ มันควรจะเป็นบวกมั้ย แต่พอลองใส่ +1 กลับไม่ชัด ใส่ 0 ดูชัดนิดนึงแต่ไม่มาก ยังดูเบลอๆมัวๆ แต่พอใส่ -1 เท่านั้นแหละ เหมือนได้ดวงตาแห่งธรรม มองชัดแจ๋วหมดเลย
สำหรับผู้เริ่มต้นกับกล้องฟิล์ม Hasselblad ที่เป็น Medium Format Camera ซึ่งป็นเรื่องต้องเรียนรู้ใหม่ ตั้งแต่การจับถือกล้อง การใส่ฟิล์ม การวัดแสง การเริ่มจัดองค์ประกอบภาพจากเฟรมสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นสื่งที่ไม่ได้ยากเกินไปที่จะเรียนรู้